
รีวิวย้อนหลัง พ.ค. 58
งานนี้เริ่มต้นจากการพลาดทริปไปเที่ยวเวียดนามของน้องหมี น้องหมีเธอก็เลยเริ่ม เอามือปุกปุ้ยของเธอคุ้ยเขี่ยตาม Facebook หาตั๋วราคาพิเศษ ในที่สุดสายการบินสีแดงก็มีตั๋วราคาพิเศษไปสิงค์โปร์ จองล่วงหน้าบินปลายปี (ตอนนั้นเพิ่งเดือน มีนา 58 ) หมีเช็คราคาวนไปวนมา แต่ เอ๊ะ ! ทำไมมันยังเเพงอยู่ (คุยวีดีโอคอลกันอยู่) หมีสงสัย เริ่มถามว่า
น้องหมี : พี่ พี่ พี่ไปวันธรรมดาได้ป่าว ?
ผม : เออ… พี่หยุดเสาร์อาทิตย์
น้องหมี : มิน่าทำไมแพง วันธรรมดาถูกกว่าเกือบครึ่งเบย
ผม : เค้าขอโต้ด T T
สงสัยเจ้าหมีตัดใจไม่ไปและ เราก็เลยไปลองจองดูบ้าง วันเสาร์แพงจริงด้วย แต่ด้วยความอยากไปเที่ยวกับเจ้าหมีก็เลยฝืนใจ ยอมเสียสละลางานวันศุกร์ 1 วัน(เข้าทางเลย ขี้เกียจอยู่เเล้ว ^o^)
ลองหาตั๋วราคาถูกที่สุดเมื่อเราหยุดวันศุกร์ด้วยอุปกรณ์การค้นหาผ่านโทรศัพท์มือถือที่ชื่อว่าเครื่องค้นหาน่านฟ้า (พยายามแปลเล่น เดากันเอาเองนะ) สรุปได้ตัว Scoot ขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองตอนสองทุ่มครึ่ง ไปถึงเที่ยงคืน ราคาที่ได้ใกล้เคียงกับการจองล่วงหน้าตั๋วโปรโมชั่นล่วงหน้า 6 เดือน ก็เลยจองซะ

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
วิธีที่ถูกต้องเป็นอย่างไรไม่ทราบ ที่ทราบคือได้รับกระทู้พันทิปและเว็ปต่างๆมากมายเกี่ยวกับสิงค์โปร ส่งมาทั้งใน Line และ ใน Chat Facebook ผู้ส่งไม่ลงชื่อแต่รูปที่แสดงบนบัญชีผู้ส่งนี้ แก้มยุ้ยขนปุกปุยเชียว เมื่อได้รับบัญชามาก็ต้องค่อยๆหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยเริ่มจากข้อคิด 3 ข้อที่ได้จากการเดินทาง ( หา internet ให้เร็วที่สุด , ต้องรู้วิธีการเข้าเมือง และ จองโรงแรมคืนแรก) รวบรวมข้อมูลได้ดังนี้
- Internet Sim มีขายที่บูธธนาคาร UOB (ลุ้นว่าเที่ยงคืนจะเปิดอยู่ไหม?)
- เข้าเมืองหลังเที่ยงคืน มี 2 วิธี
- แท็กซี่มีอัตราพิเศษช่วงกลางคืน ต่างๆนาๆ ที่จะทำให้มันเเพงขึ้นอีกเยอะจากช่วงเวลาปกติ
- รถ shuttle bus ปริศนาที่มีหลายคนบอกว่ามีและหลายคนบอกว่าไม่มี (สะกิดต่อมเผือกพี่พอดี )
สะกิดน้องหมีบอกว่า พี่อยากรู้พี่อยากลอง ขอจัด Shuttle Bus เข้าเมืองก่อนนะ ถ้าพี่พลาด(พลาดประจำ) ค่อยนั้งพี่แท็กซี่ละกัน น้องหมีตาแวววาว บอกจัดเลย จัดเลย น้องหมีก็อยากนั้งรถบัส (ในใจคงคิดว่าจะได้นั้งรถสาธารณะ แบบรถเมย์บ้านเราละมั้ง )
ส่วนข้อมูลว่าจะเที่ยวไหน กินอะไร ซื้ออะไร น้องหมีรับหน้าที่ไปแต่โดยดีโดยไม่ต้องบังคับ (แบ่งหน้าที่กันเหมาะสมมาก) น้องหมีเริ่มหาข้อมูลด้วยการดูรายการเที่ยวสิงค์โปร 48 ชม ที่เทปนั้นมีคุณ วุ้นเส้นเป็นพิธีกร ดูไปหยุดไป ดูไปจดไป ได้สถานที่เที่ยวมาคือ
- Garden by the bay
- Marina bay sand ( sky park)
ได้อาหารเช้า (ขนม) ที่ต้องไปกินให้ได้ (หมีเห็นด้วยกับคุณวุ้นเส้นเพียงเพราะหมีชอบกินอาหารหวานและขนมหวาน)
นอกจากนี้ น้องหมียังได้ชื่อ เอเจนซี่ขายตั๋วเข้าสถานที่ต่างๆ Sea Wheel Travel ที่ชาวเน็ทบอกว่าขายตั๋วราคาถูก (แต่ไม่เห็นมีอะไรยืนยันว่าเอเจนซี่อื่นขายแพงกว่านะ)
น้องหมีเป็นหมีที่ชอบน้ำหอมมาก ทั้งทาทั้งฉีดทั้งกิน ไปสิงค์โปร?ครั้งนี้เลยกะว่าจะไปซื้อมาตุ้นไว้เพิ่ม เพราะฉะนั้น ห้างมุสตาฟา จึงเป็นอีกหนึ่งเช็คพ้อยที่เราจะต้องไปกัน
วันเดินทาง 7 พ.ค. 58
หอบของขึ้นแทกซี่กัน 2 คน มีกระเป๋าเป้ใบใหญ่ผม 1 ใบ น้องหมี มีกระเป๋าเดินทาง 1 ใบ เป้ใบเล็กอีก 1 ใบ เครื่องขึ้น 2 ทุ่มครึ่ง ออกจากที่พักแถว MRT ลาดพร้าว ตอนห้าโมง ฝนทำท่าจะตก ดูรถเริ่มเยอะ ด้วยความกลัวว่าจะไปไม่ทันเลยบอกพี่คนขับให้ขึ้นทางด่วนไปลงดอนเมืองเลย ถึงดอนเมืองจริงๆก็ก่อนหกโมงนิดหน่อย คือ… รถบนทางด่วนโล่งมาก

เช็คอินยังไม่เปิดก็ต้องไปนั้งรอกันก่อน ระหว่างรอก็ไม่ให้เสียเวลา เอาขนมกับน้ำที่ซื้อมาเป็นเสบียงกินก่อนเลยเดียวจะหิว หิวบนเครื่องเปลืองนิดหน่อย ของมันแพง ^ ^
กินขนมอิ่มและ แต่ยังเหลืออีกนิดเผื่อไปเติมบนเครื่องเพราะเวลาเห็นคนอื่นทานแล้วมันจะหิวววว
เเลกเงินกันคนละหน่อยก็เลยแลกที่สนามบินเลยไม่ต้องไปหาที่แลกให้วุ่นวาย ถึงราคาสูงก็ต้องยอม@ 25.6 บาท ต่อ 1 เหรียรญสิงค์โปร์ (SGD)

ได้เวลาเชคอินและ ขั้นตอนไวมากเพราะที่ดอนเมืองคนบินไป ตปท น้อยเมื่อเทียบกับสนามบินหลักอย่างสุวรรณภูมิ ทุกขั้นตอนคิวสั้นสะดวกสุดๆ รักเลย
งานนี้เชคอินกระเป๋าลาก 1 ใบของน้องหมี เนื่องจากเป็น ผญ เลยมีอุปกรณ์เยอะ สำหรับผมเป้ใบเดียวเช่นเคย อุปกรณ์ที่เป็นน้ำใส่ถุงซิปล็อกเอาไว้ ต่อชิ้นขนาดที่ระบุบนภาชนะบรรจุไม่เกิน 100 ml รวมกันแล้วไม่เกิน 1,000 ml

อุปกรณ์ดำรงชีพอื่นๆ (ในความคิดผม)
ก็มี โทรศัพท์มือถือ สายชาจต่างๆ ปลั๊กไฟแบบเดินทาง ( travel adapter ) ปลั๊กสามตา (สมัยผมเป็นเด็กเรียกปลั๊กสามตา ถามน้องหมีบอกเรียกเหมือนกัน ไม่รู้คนอื่นๆเรียกอะไร ) ครีมกันแดด บัตรเครดิตเผื่อฉุกเฉิน
อุปกรณ์ดำรงชีพอื่นๆ (ในความคิดน้องหมี)
ครีมทาผิว ครีมกันแดด สายชาจ พาสปอร์ค หมวก เครื่องสำอางค์ ชุดอาบน้ำ เครื่องโรลผม (ผมนี้ถึงกับถามย้ำอีกที)
ตรวจเช็คทุกอย่างเข้าไปรอเครื่องขึ้นก็ถ่ายรูปเล่นกันกับน้องหมี เพลินจนหิว เลยพากันไปซื้อขนมในสนามบินทานพร้อมทั้งไม่ลืมซื้อน้ำขึ้นเครื่องอีก 2 ขวดด้วย เราบอกกับน้องหมีว่าเดียวค่อยดูนะ เวลาเราอยู่บนเครื่องเราจะหิวน้ำมากกว่าปกติ แถมเวลาเราเห็นคนอื่นกินอะไรกันเราก็จะหิวมากกว่าปกติด้วย สงสัยเหมือนโดนสะกดจิต >< ปล. เมื่อก่อนไม่กล้าเอาอาหารกับเครื่องดื่มขึ้นเครื่องแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งขากลับจากไปเที่ยว ญี่ปุ่นแล้วพบว่าผู้โดยสารซื้อทั้งอาหารและเครื่องดื่มขึ้นเครื่อง เท่านั้นเเหละเราก็นึกได้ว่า สายการบินเขาไม่ได้ห้ามนิน่า เราอยากทานอะไรก็สามารถเอาขึ้นเครื่องได้ ได้ทานอาหารถูกปากและราคาโอเคด้วย ^ ^v
มาดูเมนูอาหารบนเครื่องของ Nok Scoot กันหน่อย

หน้าปกน่ารัก ดูเเล้วหิววววว

อาหารในรูปดูดีนะ ราคา คูณ 25.6 THB ราคาก็ราวๆ 500 กว่าบาท

อันนี้ แบบ ไม่เต็มมื้อ แค่กินรองท้อง ก็ราวๆ 200 กว่าบาท

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีจร้าาา

เครื่องดื่ม ไม่มีแอลก็ฮอล พี่หมีไม่สนเท่าไหร่

แบบนี้ ตาลุกวาววว แต่ ดูราคาแล้ว อดทนอีกหน่อยละกัลลลล

ถึงสนามบิน Changi (อ่านเองว่า ชางจี แต่เฮีย Goo อ่านว่า ชางงี) ลงเครื่องที่สนามบินสิงค์โปร์เวลาเที่ยงคืน ทุกคนรีบเดินออกแต่เรากับน้องหมีเดินถ่ายรูปเล่นตลอดทาง
เดินผ่าน information ก็ส่งน้องหมีไปฝึกภาษาอังกฤษก่อนเลย โดยให้ไปขอรหัส free wifi ที่สนามบินมาใช้ การขอก็แค่ใช้พาสปอร์ตเล่มเดียว เล่นได้ 8 ชม ขอเสร็จก็เดินไปอีกนิดหน่อย เจอสวนจำลอง ก็ถ่ายรูปกันต่ออีกหน่อยชิลกันเกิ๊น สนามบินชางงีแปลกกว่าที่อื่นที่เคยไปมา ก็คือมีร้านขายของ มีที่ให้เดินเล่น ก่อนจะถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองเสียอีก

พอมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ก็ยืนลุ้นน้องหมีก่อน น้องหมีก็ผ่าน ตม ออกมาสบาย สบาย พอถึงรอบเรา เขาก็ถามแค่ 2-3 คำถาม ว่ามากี่วัน พักที่ไหน แค่นี้ก็ออกมาได้เเล้ว (น้องหมีมาบอกทีหลังว่าไม่เห็นเค้าถามอะไรหนูเลย คือน้องหมีจะบอกว่าหน้าตาพี่ไม่น่าไว้ใจซินะ… ) เมื่อออกมาจาก ตม ทั้งสองคนก็พากันเดินชิลไปรับกระเป๋าที่โหลดลงใต้เครื่องกัน โดยที่สายพานก็จะมีบอกว่าสายพานไหน ลำเลียงกระเป๋าของเครื่องบินไฟล์ไหน แต่ก็ยังไปยืนรอผิดสายพานกันสัก 5 นาที พอไม่เห็นกระเป๋าเลยกลับมาดูที่ป้ายใหม่ สรุปว่าผิดสายพานงับ มีแววหลงตั้งแต่ลงเครื่องเบย ^ ^”
(น้องหมีเดินลากกระเป๋าตามต๋อย ต๋อย น่ารักน่าชัง เพราะตอนนี้น้องหมียังเที่ยวเมืองนอกไม่เก่งเท่าไหร่ )

เข้าสู่ 3 ปฏิบัติการเริ่มต้นการเดินทาง เมื่อได้กระเป๋าก็เดินออกมาแล้วก็เริ่มทำ mission แรก คือ การหา internet sim ที่บูทแลกเงินของธนาคาร UOB ให้เดินตามป้ายที่เขียนว่า Airport shuttle เพราะ ที่แลกเงินของ UOB จะอยู่ใกล้กับ Shuttle bus เข้าเมือง โดยถ้าหันหน้าเข้าหาทางออกสายพานรับกระเป๋าหมายเลข 36-38 UOB จะอยู่ทาง ซ้ายมือ ส่วนที่ขายตั๋ว Shuttle bus เข้าเมืองจะอยู่ขวามือ กว่าจะรับกระเป๋าเดินออกมาจนถึงที่แลกเงินธนาคาร UOB ก็ตี 1 เเล้ว แต่ก็ยังมีพนักงานทำงานปกติ หน้าตาง่วงๆ

เข้าไปคุยก็ได้ความว่ามี internet sim ราคา 18 SGD ในความรู้สึกคือแพงไปนิดหน่อย แต่ถือคติที่ว่าอย่าหวังน้ำบ่อหน้า เผื่อเรามีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้ในคืนนี้หลังออกจากสนามบินไปแล้ว ถ้าไม่มี Internet ตอนตี 2 ชีวิตคงไม่สนุกเป็นแน่ ก็เลยตัดสินใจซื้อ 1 อัน internet เป็นแบบใช้ได้ 5 วัน วันละ 2 GB. ไม่ต้องเลือกเพราะคนที่ขายเชาบอกว่ามีแค่แบบนี้แบบเดียว ไม่รู้วันอื่นจะมีแบบอื่นให้เลือกไหมนะคับ โดยซิมที่ซื้อจะเจาะไว้ทุกขนาด แค่แกะตามขนาดที่ต้องการ ส่งเรื่องการกดเปิดใช้บริการคุณพี่เค้าจัดการให้หมด อย่าลืมเก็บซิมการ์ดเมืองไทยกลับมาด้วยนะ (Tips: สำหรับ iphone หาคลิปหนีบกระดาษไว้สำหรับแกะซิมการ์ดเมื่อไทยใส่กลับเมื่อถึงประเทศไทยด้วยนะจ่ะ)

เมื่อมี internet แล้ว ก็จูงมือกันเดินไปหยุดที่หน้าเค้าเตอร์ขายตั๋ว Shuttle bus เข้าเมือง ( หลังเที่ยงคืน) หันมาสบตาน้องหมี น้องมีให้กำลังใจกระพริบตาปริบ ปริบ เราก็เดินเข้าไปทำหน้ามั่นใจบอกพนักงานว่าเราต้องการไป โรงแรม Asphodel ย่าน little India พนักงานตอบว่าต้องรอ 45 นาทีนะ ถ้าอยากได้รวดเร็วก็มีแท็กซี่ให้บริการ เราหันมามองหน้าน้องหมีแล้วตอบกลับไปว่าเราไม่รีบ เรารอได้ เขาก็ให้สติ๊กเกอร์มาแปะไว้ที่ตัวคนละแผ่นแล้วให้ไปนั้งรอใกล้ๆ

ทางออก เราก็เดินไปนั้งรอ เห็นคนนั้งรอกันหลายคนก็อุ่นใจว่าได้ขึ้นรถแน่ คนไปเยอะแบบนี้ เดี๋ยวก็คงเต็ม (เหมือนบ้านเรา พอรถเต็มก็ออกรถ) นั้งรอถ่ายรูปเล่นกัน สักไม่นานพนักงานก็เดินมา ถามว่าแล้วสติ๊กเกอร์ที่ให้ไว้ไหนแล้ว เราบอกนี้งัยแปะไว้ที่เป้ เขาบอกว่าให้ติดไว้ที่ตัวนะ เราก้โอเคแล้วเขาเห็นเรากำลังถ่ายรูปเล่นกัน เลยอาสาถ่ายให้ (ใจดีนะเนี้ย) เขาถ่ายรูปให้เสร็จก็บอกให้เราไปจ่ายเงินค่ารถคนละ 9 SGD 2 คนก็ 18 SGD จ่ายเงินเสร็จก็กลับมานั้งคุยกับน้องหมีว่า จ่ายเงินแล้วรอเขามาเรียก รอไม่นานก็มีรถเข้ามาจอด 2 คัน ด้วยกลัวตกรถเลยเดินออกไปเสนอหน้า เผื่อเข้าจะเรียกขึ้นรถ แต่ที่รถ shuttle bus ไม่มีคนขับ เลยหันกลับไปดูที่นั้งรอ เห็นคนขับเดินถือรายชื่่อโรงแรมแล้วถามคนที่มีสติ๊กเกอร์อยู่ด้านในว่าไปที่ไหน ถ้าตรงกับ รร ที่เขาต้องไปก็เรียกขึ้นรถ แต่ shuttle bus ทั้ง 2 คันที่เข้ามาก็ออกไปโดยไมมีเราและน้องหมี แต่เราก็คิดว่าเพราะเรามากันทีหลังคงต้องรอคันต่อไป เพราะรถคันนึงไม่ได้มีที่นั้งเยอะ ประมาณสัก 10 ที่ โดยเป็นที่นั้งเดี่ยวทั้งหมด เมื่อรถคันที่ 3 เข้ามาจอกคนขับไปรับชื่อ รร แล้วก็เดินมาถามเรา สรุปเราได้ไปคันนี้

เรากับน้องหมีก็เดินขึ้นรถ ถ่ายรูปเก็บข้อมูลเล่น สักไม่นานคนขับก็ดินขึ้นมาเราก็เลยถามว่า เราต้องรออีกกี่คนรถถึงจะออกหรอ คนขับบอกว่า มีแค่เรา 2 คน เรากับน้องหมีรู้สึกดี ทั้งที่มีแค่เรา 2 คน ทางบริษัทเดินรถ (เอกชน) ก็ยังจัดรถไปส่งเรา เมื่อมีแค่เรา 2 คนน้องหมีก็จัดการลองถ่ายคลิปวีดีโอสั้นๆ มืดๆ เล่นกัน (แอบปลื้มแฟนที่ขนาดไม่มีบทยังพูดได้ไหลลื่นไม่กลัวกล้องเท่าไหร่ ไม่เหมือนเรา >< ) หลังจากถ่ายทั้งรูปอัดทั้งวีดีโอสนุกสนาน เพียงนั้งต่อไปอีกไม่นานก็มาถึง โรงแรมของเรา

ก่อนลงจากรถยังขอถ่ายรูปคนขับรถไว้ด้วย (พี่เขาใจดีมากๆ ทั้งยังบอกว่าถ้าขากลับอยากนั้งรถshuttle bus กลับก็ให้โทรเบอร์ที่นามบัตร ก่อนล่วงหน้าสัก 2-3 ชม แล้วก็รอเขามารับที่ รร ได้เลย) กล่าวล่ำลา ขอบคุณกันเรียบร้อย ก็ไปลุ้น รร กันต่อ
โรงแรมที่จ่ายเงินจองไว้ที่ อโกด้า ชื่อ Asphodel เป็น โรงแรมราคาประหยัด จองไว้ทั้งหมด 3 คืน (พฤ,ศ,ส ) ราคาอยู่ที่ 5160 บาท ตกคืนละ 1720 บาท

เนื่องจากสิงค์โปร์เป็นประเทศเล็กมีพพื่นที่จำกัด ราคาห้องพักจึงค่อนข้างสูง และการเดินทางที่มีผู้หญิงไปด้วยเราจึงเลือกห้องส่วนตัวมากกว่านอนร่วมกับคนอื่นๆ น้องหมีเล่าว่าตอนไปพม่าจ่ายเงินจองโรงแรมไว้แต่เพราะเข้าดึก โรงแรมจึงปล่อยห้องต่อให้นอื่นไป ตอนที่เราจองห้องพักไว้ก็ลืมแจ้งไว้ว่าจะเข้าดึก(มาก มาก ) เราไปถึง รร ประมาณตี 2 กว่าๆ มีผู้ชายเฝ้าเค้าเตอร์เช็คอิน 1 คน เราก็แจ้งว่าจ่ายเงินจองกับเว็ปไซต์เอาไว้ เขาก็ขอ passport 1 เล่ม เพื่อลงบันทึกการเข้าพัก ไม่นานเราก็ได้กุญแจห้องพร้อม รีโมทแอร์และทีวี เรากับน้องหมีตกลงว่าเอาสัมภาระไปเก็บที่ห้องก่อนค่อยออกไปสำรวจรอบๆบริเวณที่พัก เรา 2 คนขึ้นลิฟตัวเล็กๆ ตอนตี 2 กว่าๆ มุ่งหน้าไปลุ้นว่าห้องพักที่เราต้องนอน 3 คืนจะเป็นอย่างไร

Asphodel อยู่ใน โซนอินเดีย ตามชื่อ เขต little India ( เครดิต : รูปที่พักจากอโกด้า )

Asphodel Lobby ด้านหน้า พี่ในรูปเป็นคนไทย อยู่เฉพาะ กะ เช้า ถามได้ ใจดี ขออนุญาติลงรูปมาเป็นปีเเล้วเพิ่งจะเอามาลง ><

ทางเดินค่อนข้างแคบๆ ( เครดิต : รูปที่พักจากอโกด้า )

เปิดห้องขนาดพอเหมาะสำหรับพัก 2 คน กลิ่นไม่อับห้องน้ำแคบๆยาวๆ พออยู่ได้ เทียบกับราคาและ สถานที่ตั้ง ถือว่าไม่แย่ ( เครดิต : รูปที่พักจากอโกด้า ห้องนี้เลย )

<<<<<<<<<<<<>>>>>>>>>>>>>
เมื่อเอาของเก็บเรียบร้อยก็ลงไปเดินสำรวจรอบบริเวณ เริ่มจากเดินไปร้านของชำใกล้ๆโรงแรมAsphodel ร้านของชำมี 2 ร้านติดกัน ร้านหนึ่งเป็นของคนจีนอีกร้านเป็นอินเดีย มีของขายทั่วๆไปไม่ตื่นเต้นอะไร สำรวจเสร็จก็ชวนน้องหมีเดินไปตามถนน รอบๆ อาจจะเพราะเป็นเวลากลางคืนมากแล้วก็เลยไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ แต่ที่แน่ๆ zone นี้ เป็นที่อยู่ของคน India อย่างแน่นอนเพราะสามารถพบได้ทั่วบริเวณ เมื่อไมมีอะไรก็ชวนน้องหมีเดินกลับห้องไปพักผ่อนสำหรับวันแรก สรุปว่าโรงแรมและรอบ บริเวณ ถ้ามา 2 คนมีผู้ชายก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ แต่ถ้ามีแต่ ผู้หญิงอาจจะเเนะนำให้พัก zone อื่น แต่รวมๆแล้วที่พักก็ไม่ถือว่าแย่ (แถมตอนเช้าเราเจอพี่สาวคนไทยใจดี ที่ดูแลโรงแรมนี้ด้วย)

เที่ยววันแรก 8 พ.ค. 58
นอนดึกตื่นสาย วันนี้มื้อแรกน้องหมี น้องหมีงอแงอยากกินขนมปังจิ้มไข่ลวกเป็นอย่างแรก แต่ก่อนอื่นต้องหาสถานีรถไฟใต้ดินก่อน พี่ผู้หญิงคนไทยใจดีที่ดูเเลโรงแรมตอนกลางวัลเป็นคนบอกทิศทางไปสถานีรถไฟให้ เดินกันไปสัก 5 นาทีก็เจอสถานีรถไฟใต้ดินสถานี Farrer park

เมื่อลงไปต้องตัดสินใจว่าจะซื้อตั๋วแบบไหนดี รู้เเค่มีตั๋วประมาณ 3 แบบ ส่วนแบบอื่นถ้ามีก็ไม่รู้แล้วนะครับ
- แบบซื้อที่ตู้เติมเงินที่ตู้รายเทียว ใช้ได้ 6 เที่ยว มีมัดจำ 10 Cent ให้คืนเป็นส่วนลดเมื่อเดินทางครบ 3 ครั้ง (คืนครั้งที่ 3 )
- Ez-Link ราคา 12 SGD (ค่าบัตร 5 SGD เสียเปล่า ไม่ได้คืน ) ใช้ได้จริง 7 SGD เติมขั้นต่ำที่ตู้ครั้งละ 10 SGD ใช้ได้ 5 ปี
- Tourist pass ตั๋วเหมา รถไฟ รถเมย์ ยกเว้นค่ารถไฟไปเกาะเซ็นโตซ่า

ซื้อ และ คืนบัตร ได้ที่ TransitLink Ticket Office อยู่ในสถานี MRT 8 สถานี ตามเวลาที่กำหนด
1 day pass ต้องจ่าย 20 SGD แบ่งเป็น *ค่าโดยสารเหมา 10 SGD / มัดจำบัตร 10 SGD
2 day pass ต้องจ่าย 26 SGD แบ่งเป็น *ค่าโดยสารเหมา 16 SGD / มัดจำบัตร 10 SGD
3 day pass ต้องจ่าย 30 SGD แบ่งเป็น *ค่าโดยสารเหมา 20 SGD / มัดจำบัตร 10 SGD
*ค่ามัดจำ 10 SGD จะได้คืนเมื่อคืนบัตร ภายใน 5 วันนับจากวันที่บัตรหมดอายุ คืนได้ทั้งหมด 8 สถานี ตามที่กำหนด
** TransitLink Ticket Office ในสถานี MRT
- Changi Airport เปิด เที่ยง – ทุ่มครึ่ง ทุกวัน
- Orchard เปิด 10 โมง – 3 ทุ่ม ทุกวัน
- China Town เปิด 8 โมง – 3 ทุ่ม ทุกวัน
- City Hall เปิด 9 โมง – 3 ทุ่ม ทุกวัน
- Raffles Place เปิด จ-ศ 8 โมง – 3 ทุ่ม / เสาร์ ปิด 5 โมง / อาทิตย์เเละวันหยุดอื่นๆ ปิดให้บริการ
- Ang Mo Kio เปิด จ-ส 8 โมง – 3 ทุ่ม / อาทิตย์และสันหยุดอื่นๆ เปิด 10 โมง
- Habour Front เปิด 8 โมง – 3 ทุ่ม
- Bugis เปิด 10 โมง – 3 ทุ่ม
(พัก บ่าย 3 โมง 45 ถึง 4 โมง 45 ทุกสถานี)
ค่าโดยสาร MRT เริ่ม 0.8 – 2.80 SGD รถเมย์ 0.60 – 1.60 SGD (reference : holidaythai.com/Travel-in-Singapore.htm)
คุยกับน้องหมีว่าเราน่าจะเดินทางกันเยอะ ดูจากราคาต่อเที่ยวเเล้ว ซื้อแบบ Tourist pass 3 วันน่าจะคุ้มสุด แต่….. พอไปซื้อพบว่าที่สถานี Farrer Park Ticket office ยังไม่เปิด (แม้เปิดก็อาจจะไม่มีขาย เพราะไม่อยู่ในชื่อสถานีที่ขายตั๋วแบบนักท่องเที่ยว) สรุปก็เลยต้องเสียเงินซื้อตั๋วธรรมดาแบบหยอดตู้ จำไม่ได้ว่ามีค่ามัดจำบัตรไหม แต่ที่แน่ๆ เสียเงินก่อนได้ตั๋วเหมาวันก่อนเบย #ร้องไห้เบาๆ

ก่อนซื้อตั๋วดูแผนที่เดินรถก่อนเล็กน้อย ว่าจะไปสถานีไชน่าทาวน์ต้องขึ้นขบวนไหน ทางไน พอรู้แล้วก็ซื้อตั๋วไปไชน่าทาวน์กันเลย น้องหมียังคงเดินตามตาใสแป่ว ^^
ขี้นรถไฟ MRT ไปไช่น่าทาวน์ เช้าวันศุกร์คนแน่นแต่ไม่มากเท่า MRT บ้านเราช่วงเช้า (พระเจ้า แน่นจนไส้เกี่ยวกับคนข้างเลย คนหน้าประตูนี้แทบจะได้เสียกันเลยนะ กระโดดใส่ซะขนาดนั้น) ยืนไปสักพักก็ถึงสถานีไชน่าทาวน์ เป้าหมายแรกคือซื้อตั๋ว tourist 3 days pass เดินขึ้นไปด้านบนหา ticket office ไม่ยาก ออกทางที่จะขึ้นไป ไชน่าทาวน์เลย ขึ้นไปเจอคนเข้าแถวรอซื้อตั๋ว 3-4 คน ก็เดินเข้าไปต่อแถวกับน้องหมี ครั้งนี้พี่สะกิดน้อยหมีอีกรอบบอก น้องหมีๆ ฝึกภาษาอังกฤษต่อเลย บอกเข้าขอซื้อบัตรนักท่องเที่ยวเอาแบบ 3 วันนะ น้องหมียืนทำหน้า งง เล็กน้อย เอียงคอ 30 องศา ถามกลับมาด้วยความน่ารักว่า “ต้องพูดยังงัยอ่ะ ”

เออ… (โรงเรียนสอนภาษาไม่เคยสอนให้ซื้อตั๋วนักท่องเที่ยวแบบ 3 วัน ซินะ หรือ น้องหมี มันยังเรียนไม่ถึงบทที่จะต้องไปเที่ยวเนี้ย เราพาข้ามบทเรียนไปไหม หรือต้องเริ่มจากพาไปซื้อของกินดี … )
เห็นใจๆ นานๆ มีบทพูดถือนึงอาจจะลืมบทได้ ก็เลยบอกน้องหมีว่า พูดแบบนี้ ” May I have 3 days pass for 2 people please ” น้องหมีเข้าไปพูด พูดเสร็จแทนที่จะมองหน้าพนักงานขายตั๋วดันหันกลับมามองหน้าเราซะงั้น เราเลยต้องคุยกับพนักงาน ถามว่าบัตรเท่าไหร่ มีค่ามัดจำไหม แล้วแลกคืนได้ไหม (ต้องถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มาถูกต้อง )

หลังจากนั้น เราก็ได้ตั๋วใช้สำหรับเดินทางแบบเหมาสามวันมาในมือเรียบร้อย (ลืมบอกไปว่าทริปนี้ไม่ไป เกาะเซ็นโตซ่า ถ้าไปจะต้องเสียงค่ารถไฟแยกไม่รวมกับตั๋วเหมานะ )

หลังจากที่น้องหมีพูดภาษาอังกฤษไป 1 ประโยค และยืนดูเราซื้อตั๋วก็เกิดคอแห้ง เดินตรงไปที่ 7-11 ขนาดความกว้างคูณยาวเท่ากับหมี3ตัวคูณหมี 4ตัว เพื่อหาน้ำดื่ม จากที่เห็น 7-11 ที่สิงค์โปร์ ไม่ใหญ่และมีสินค้าไม่เยอะเหมือนบ้านเรานะครับ ดูเหมือนร้านของชำทั่วไป แต่มีป้าย 7-11

น้องหมีเดินไปเลือกได้น้ำผลไม้รวมมา 1 กล่อง เราเดินตามเข้าไปดูสกิลภาษาอังกฤษของน้องหมีในบทเรียนการซื้อของที่น่าจะเรียนผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยเเล้ว และทันใดนั้น น้องหมีก็ยืนของ ว่างเงินตามที่แสดงบนหน้าจอ และรับสินค้าเดินออกจากร้าน … เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บทเรียนภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับการซื้อของไม่มีอยู่จริง … (พอมานึก เราเองก็ทำแบบเดียวกันนิน่า การซื้อของในซูเปอร์มาเก็ตถ้าไม่ได้ซื้อของประหลาด เราก็ไม่เห็นต้องพูดเลยนิน่า)

ตั๋วเรียบร้อย ได้น้ำนิดหน่อย มีแรงเดินตามล่าหาร้านขนมปังไข่ลวกแล้ว น้องหมีหารีวิวมาร้านขนมปังจิ้มไข่ลวก ที่สิงค์โปร์เรียก Kaya Toast ร้านที่รีวิวเจอบ่อยๆที่เรากำลังจะไปคือร้าน Ya Kun Ka Ya
ไปถึงที่ร้านก็ถ่ายรูปหน้าร้านกันซักหน่อย ถ่ายเสร็จเข้าร้านไปหาที่นั้ง ภายในร้านคล้ายกับร้านกาแฟ โบราณบ้านเรา คือไม่ได้หรูหราอะไร มีเมนูอยู่ไม่มากขนมปังมีให้เลือกสี่แบบ
- butter
- With sugar
- French toast
- Peanut butter
สามารถเลือกเป็นชุดโดยจะมีเครื่องดื่มแถมมาให้ด้วยหรือซื้อเพิ่มเป็นชิ้นก็ได้

ผมกับน้องหมีตกลงสั่งมาแค่ ชุดเดียวเป็นแบบเนยธรรมดา อันนี้ originalคับ และที่สั่งมา ชุดเดียวเพราะแค่อยากลองทานไม่อยากให้กินจนอิ่มมากเผื่อทานอย่างอื่นอีก

ขนมปังมาเสริฟมี 4 ชิ้น ไข่ลวก 2 ฟอง กาแฟ 1 แก้ว เวลาทานต้องตีไข่ลวกโรยพริกไทย แล้วราดซอสสูตรพิเศษของทางร้าน น้องหมีกับผมลองชิมซอสเปล่าดูก็บอกไม่ได้ว่าซอสอะไร แต่พอผสมลงไปในไข่ลวกแล้วจิ้มด้วยขนมปังทานเนยแถมมีไส้คล้ายๆคัสตาดด้านในด้วย มันเข้ากันดีจนแบบ อยากจะสั่งเพิ่ม แต่ก็ยังอยากจะทานอย่างอื่นกันอีก เลยต้องพอแค่นี้ก่อน ส่วนเครื่องดื่มวันนั้นสั่งโอวัลตินซึ่งธรรมดามาก ล่าสุดมาเปิดสาขาที่ไทยแล้ว ลองไปกินมาแล้ว ชอบที่กินที่สิงค์โปร์มากกว่า สงสัยบรรยากาศจะดีกว่า …
หลังจากมีอาหารตกถึงท้องกันเรียบร้อยก็เริ่มคิดว่าจะไปไหนกันดี ถึงจะมีแผนคร่าวๆ คร่าวมากๆ ในหัวกันแล้วก็ตาม แต่ยังไม่ได้จัดลำดับการไป แต่อากาศที่สิงค์โปร์ช่วงที่ไปก็ร้อนพอสมควรทำให้คิดถึงการเดินท่องเที่ยวในสถานที่อากาศเย็นๆ ช่วงสายแบบนี้ ก็เลยคุยกับน้องหมีว่าเราน่าจะไปหาซื้อน้ำหอมที่ห้างอินเดีย (มุสตาฟา) กันดีกว่า เห็นมีแค่คนบอกว่าถูก แต่ไม่มีใครยืนยันว่าของแท้ของเทียม แต่ดูแนวโน้มไม่น่าปลอม (แนวโน้มที่ว่า เกิดจากความอยากได้ของถูกล้วนๆ) ก็เลยเปิดหาวิธีการไปจากในเน็ต สรุปได้ความว่าให้นั้ง MRT ไปลงที่ สถานี Farrer park เออ… ?? คุ้นๆว่าสถานีนี้มันตรงที่พักเรานิน่า นึกไปนึกมาแถวนั้นเค้าเรียก little India ตอนเดินสำรวจเมื่อคืนน้องหมีก็บอกมีแต่คนแขกเต็มเลย ชัดและ สรุปว่าห้างอยู่ใกล้กับที่เราพักนั้นเอง คิดได้ดังนั้นก็พากันลงรถไฟใต้ดินโดยครั้งนี้ได้ใช้ตั๋วรถไฟแบบเหมาแล้ว ส่วนตัวที่ซื้อเป็นเที่ยวขามาน้องหมีก็ทำการเก็บไว้

ขอเม้าส์เรื่องการเก็บบัตรของน้องหมีนิดนึง ที่น้องหมีเก็บบัตรรถไฟแบบรายเที่ยวไว้ไม่ใช่เพราะความรอบคอบหรือเผื่อว่าจะได้ใช้อีกแต่อย่างใด แต่เหตุผลคือ น้องหมีเป็น หมีที่ชอบเก็บบัตรทุกชนิด เก็บไว้เยอะมาก ไม่ได้สะสม แค่เป็นประเภทที่แบบนักการตลาดชอบมาก คือขอให้มีบัตรสะสมคะแนน บัตรส่วนลด บัตรสมาชิก หมีจะสมัครและเก็บไว้หมด นี้ขนาดน้องหมีบอกเลือกเก็บแล้ว แต่ที่เห็นนี้ก็หลายสิบใบ เวลาไปไหนต้องคิดก่อนว่าจะได้ใช้บัตรพิเศษอะไรบ้างแล้วหยิบไปเพิ่ม เพราะในกระเป๋าจะมีบัตรที่พกประจำ บัตรที่พกบ้างไม่พกบ้างแล้วแต่อารมณ์ และบัตรหมุนเวียนตามฤดูกาลพกเมื่อคิดว่าจะได้ใช้ แต่บัตรประเภทนี้เวลาพกจะไม่ได้ใช้แต่จะต้องใช้ใบที่ไม่ได้พกตลอด
ตัดมาที่ MRT สถานี Farrer park เรากับน้องหมีเดินออกจากสถานี ทางออกใกล้ๆ City Square Mall เดินไปอีกนิดก็ถึง ห้างมุสตาฟา แต่ตอนเจอครั้งแรกไม่คิดว่านี้คือห้างเพราะดูเก่าและโทรมมาก (มารู้ที่หลังว่ามุสตาฟามีประมาณ 3 ตึก) ตึกแรกที่เราเข้าไปดูโทรมๆ ไม่ค่อยมีคน แต่ห้างก็เขียนว่ามุสตาฟาก็เลยลองเดินเข้าไปดู

พอเข้าไปแล้วต้องลบคำว่าห้างในความหมายบ้านเราออกไปให้หมดเพราะมันดูเป็น ซุปเปอร์มาเก็ตอินเดียขนาดใหญ่มากกว่า แต่เราก็ไม่สนใจเพราะเป้าหมายน้องหมีชัดเจน คือโซนขายน้ำหอมเท่านั้น ป้ายทะมึนๆที่เสาชี้เป้าบอกว่าโซนน้ำหอมอยู่ชั้นบน เราก็เลยเดินขึ้นชั้นบนด้วยบันไดเลื่อน ที่เลื่อนเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น ขาลงต้องใช้ขาเลื่อนตัวเองลงมา ไปกันต่ออย่าได้แคร์ มาถึงชั้นที่ขายน้ำหอมและของอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกันอีกมากมาย น้องหมีพุ่งตรงไปสำรวจราคาน้ำหอมที่รู้จัก (รู้อยู่ไม่กี่ยี่ก้อด้วย) ได้ความว่าราคาถูกเป็นที่น่าพอใจ น้องหมีก็ทำการเดินหาน้ำหอม Miss Dior ที่อดใจเอาไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว เพื่อจะมาซื้อที่สิงค์โปร์ เดินหาจนอุ้งติงหมีเริ่มจะบวมๆ ก็ไม่เจอ น้องหมีเลยหยิบน้ำหอมรุ่นอื่นที่เคยใช้มา 2 ขวด แล้วไปจ่ายเงินอย่างหง่อยๆ ณ ที่จ่ายเงิน เมื่อราคาน้ำหอมเกิน 100 SGD พนักงานผู้ใจดีก็บอกเราว่า เราจะได้รับการคืนภาษีให้ 7% ให้เราติดต่อเค้าเตอร์ GST Refund ได้ที่ Basement 2 …
> GST Refund คำนี้เป็นจุดหักมุมของการเดินทางครั้งนี้เลยทีเดียว <
ภาพตัดมาที่ชั้น 1 พี่หมีกับน้องหมียืนทำหน้ามึนกันอยู่กลางร้านขายของชำอินเดีย Basement 2 มันคืออะไร … ไม่เห็นจะมีชั้นที่มันต่ำกว่าชั้น 1 เลย แค่ basement ยังไม่รู้จะหาจากไหนเลย แล้วจะเอา Basement 2 จากที่ไหนมาให้ละเนี้ย แต่ด้วยความงก อยากได้เงินคืน 7 SGD ยังไงต้องหา Basement 2 ให้เจอให้ได้ เมื่อความงกเป็นแรงกระตุ้น เราจึงเดินไปถามพนักงานที่สิงสถิตอยู่แถวนั้น (ดูเป็นเงาตะครุ่ม ไม่รับแขก) พี่เค้าบอกให้เราออกทางประตูหลังเข้าไปอีกตึกหนึ่งแล้วลงไปชั้นล่างก็จะเจอ Basement 2 เราก็เดินออกประตูด้านที่พี่เค้าชี้ แล้วก็ตรงไปตึกข้างหน้า เดินเข้าไปและ… คือมันไม่ใช่ห้างแต่เป็นออฟฟิตอะไรสักอย่าง ถามคนแถวนั้นเค้าบอกไม่ใช่ตึกนี้ ก็เลยเดินออกมา เดินเลาะไปอีกหน่อย กระจ่างเลย คือ ห้างมุสตาฟาที่เราเดิน มันมี สามตึกติดๆกัน เเละอันที่เราเดินคาดว่าเป็นตึกเก่าสุด เพราะแทบไม่มีคนเดินเเล้ว พอเราเดินเข้าห้างของจริงเท่านั้นเเหละ

คนเพียบขอเพียบ ยืนกันให้เเน่น แขกล้วนๆ (มีคนบอกว่าคนจึนจะไม่ค่อยมาเดินที่ห้างนี้) พอเข้าข้างในก็เริ่มตาลุกวาวมองหา Miss Dior ที่ตามล่าต่อไป แต่ก็ยังหาไม่เจอ สุดท้ายเลยถอดใจลงไป Basement 2 ครั้งนี้หาง่ายเลย เจ้าหน้าที่รับเรื่องบอกว่าถ้าเรายังต้องการซื้อสินค้าเพิ่มอีกค่อยมาขอคืนภาษีทีเดียวก็ได้เพราะ ถ้าซื้อของเพิ่มแล้วยอดไม่ถึง 100 SGD จะขอคืนไม่ได้ แต่ถ้าเรารอขอคืนภาษีครั้งเดียวเราสามารถรวมบิลกับยอดอื่นๆ จนเกิน 100 SGD ได้

ขอคืนภาษีที่ ชั้น Basement 2

กลับออกมาจากห้างตอนบ่าย 2 ด้วยความรู้สึกว่าแดดยังร้อนอยู่และที่พักของเราอยู่ไม่ไกลจากห้างมุสตาฟา เราก็เลยลงความห็นว่ากลับไปนอนตากแอร์พักก่อนดีกว่า ^^
ระหว่างทางเดินกลับ ก็ผ่านห้าง City Square Mall เลยแวะกินอาหารกันก่อน

แวะร้านขนมก่อนร้านข้าวซะงั้น เจ้าสิ่งนี้เป็นแป้งคลายๆ แพนเค้ก 2 อันประกบกันด้านในมีไส้ ตามที่เห็นในรูป รสชาติเฉยๆ ไม่ดีไม่แย่

ร้านนี้ขายคล้ายๆ ก๋วยเตี๋ยวปลา น้ำข้นๆ รสชาติถั่วๆ

พี่หมีไม่ชอบ เพราะพี่หมีชอบเนื้อๆมากกว่าปลา

อันนี้ดูหน้าตาน่ากินกว่า ดูมีเนื้อมีหนังดี

มีหมูกับไข่พะโล้ ราดน้ำคล้ายๆ พระรามลงสรง อร่อยดี 
นอนตากแอร์เล่นจนใกล้น้องหมีบอกน่าจะไม่ร้อนและ ออกไปหาพี่สิงโตเงือก เมอร์ไลอ้อน กันดีกว่า เมื่อมาสิงค์โปร์เเล้วถ้าไม่ไปรายงานตัวกับพี่เค้า เหมือนเรามาไม่ถึงสิงค์โปร์ เราสองคนก็คลืบคลานจากเตียงด้วยความยากลำบากและเชื่องช้าสุดๆ แต่ในที่สุดก็หลุดออกจากเตียนุ่มๆได้เสียที การเดินทางก็เช่นเคยเราใช้ MRT ลงไปสงสถานี Raffles Place เดินหลง งงนิดหน่อย แต่อาศัยถามคนแถวนั้นเอาว่า พี่สิงโตเงือก แกอยู่ไหน สรุปก็เดินเลียบคลองไปเรื่อยๆ จะมองเห็นพี่สิงค์โตเงือกอยู่ไกลๆ ข้ามถนน อีก 2 ที ก็ถึง ให้อธิบายวิธีเดินก็ยากอยู่เพราะแถวนั้นมีแต่ตึกสูงๆ ทางทีดีถ้าภาษาไม่แข็งแรงแบบน้องหมีก็แนะนำให้หารูปสถานที่ ที่เราจะไปเตรียมไวเในมือถือและให้คนแถวนั้นดูรูปเอา เราก็น่าจะสามารถใช้ภาษามือสื่อสารกันได้สบายมากครับ ไม่ต้องกลัวๆ เดินมันแบบผิดๆถูกๆนี้แหละสนุกดี น้องหมีกล่าวเอาไว้
ระหว่างทางพี่หมีจัดเบียร์ ญี่ปุ่นก่อนเลย อร่อยยย เดินลิ่วๆเลย เติมน้ำมันละ

เมื่อถึง Merlion จะพบผู้คนเยอะแยะ กำลังถ่ายรูปกับพี่สิงโตเงือก มุมใครก็มุมมัน เวลาถ่ายก็ติดคนโน้นคนนี้ ได้เพื่อนใหม่ติดไว้ในรูปกันเต็มไปหมด แต่ถ้าหาจังหวะดีๆก็จะได้มุมส่วนตัวแบบไม่มีเพื่อนๆ นักท่องเที่ยวคนอื่นๆมาร่วมแจมในรูปด้วย พี่หมีกับน้องหมีก็ถ่ายรูปกันด้วยกล้องมือภือตามปกติ จนกระทั้ง… น้องหมีก็หยิบไอเท็มลับออกมา น้องหมีพกกล้องถ่ายรูปฟิลล์โพลารอยด์มาด้วย การถ่ายรูปแบบนี้สอบถามได้ความจากน้องหมีว่า เป็นพิธีกรรมที่เวลาเธอไปเที่ยวที่ไหนพิเศษ เธอจะถ่ายรูปแบบโพลารอยด์เก็บเอาไว้ พร้อมใช้ปากกาเขียนซีดีเขียนคำพูดอะไรสักอย่างไว้ในรูป ผมจึงขอร่วมพิธีกรรมกับเธอเราได้รูปโพลารอยด์กัยมามากกว่าปกติ (ปกติน้องหมีถ่ายคนเดียว) เมื่อเสร็จจากพิธีกรรมอันศักสิทธิ์ของน้องหมีเเล้ว

เราก็เดินหาที่นั้งพักเหนื่อยกันแถวสะพานแขวนใกล้ๆ เพื่อวางแผนกันว่าจะไปที่ไหนกันต่อ คือ… ที่คิดไว้ก็มาหาพี่สิงโตเงือก เสร็จแล้วดูตามเวลาว่าจะไปไหนดี ใจหนึ่งก็อยากไปดูพระอาทิตย์ตกที่ โรงแรม โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส เห็นว่าต้องซื้อตั๋วราคาประมาณ 20 SGD เพื่อขึ้นไป Sky park บนยอดตึกเพื่อดูพระอาทิตย์ตก (อันนี้เจ็บปวด ไว้เล่าต่อ) อีกใจก็อยากไปดู การ์เด้นบายเดอะเบย์ ทั้ง 2 ที่ มีการแสดงแสงสี เสียง ควรวางแผนเพื่อชมการแสดงเพราะแต่ละที่จะมีเวลาบอกไม่เหมือนกัน ตารางตามนี้
การแสดงเลเซอร์ที่ยิงจากตัวตึก Marina Bay Sands และ การแสดงน้ำพุพร้อมจอโปรเจคเตอร์
เวลาในการแสดงโชว์ Wonder Full – Light & Water Spectacular ชมฟรี
- วันอาทิตย์ – พฤหัสบดี : 20:00 น., 21:30 น.
- วันศุกร์, เสาร์ : 20:00 น., 21:30 น., 23:00 น.
อ้างอิง (มีรูปการแสดงเลเซอร์ที่ยิงจากตึก) : http://bit.ly/LASERMARINABAY
อ้างอิง (มีรูปงานแสดงน้ำพุ) :http://bit.ly/WATERSWMARINA
การแสดงไฟและเสียง Rhythm with nature ที่ gardens the bay โซน supertree grove
ทุกวัน 19.45 และ 20.45
อ้างอิง : http://bit.ly/rhythmSGARDENBTBAY

ตามล่าหาตั๋วถูกกันก่อน
สรุปว่ายังไม่ไปไหนแต่เราไปตามหาร้านขายบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ ในราคาที่ถูกกว่าไปซื้อหน้างานกัน จากลายแทงในพันทิพเราจะต้องไปตึก people นั้ง MRT ไปลง ไชน่าทาวว์ ขึ้นจาก MRT จำไม่ได้ทางออกไหน แต่ถึงเลย เข้าไปด้านใน มีร้านขายตั๋วเยอะมาก สามารถเลือกได้เลย

ซื้อตั๋ว เข้า Marina bay sand sky park , garden by the bay จำราคาไม่ได้แต่ถูกกว่าราคาหน้าที่ขายตั๋ว ที่สำคัญไม่ต้องรอคิวยาว แต่กว่าจะได้ตั๋วมาก็เริ่มมืดแล้ว ก็เลยไปหาข้าวกินกันก่อน
เดินตามหาร้านบั๊กกุเต๊ร้านดังแถว Farrer park แต่ไปๆมาๆ หาไม่เจอมาเจอร้านนี้แทน

(มารู้ที่หลังว่าก็ดังเหมือนกันนะ)

วิธีการสั้งก็ไม่ยาก มีกระดาษข้อสอบมาให้ทำ 1 ชุด แบบนี้

สั่งมาเยอะมาก คิดว่าไม่หมดและ แต่ในที่สุด ด้วยพลังหมีคู่เราก็สามารถคว่ำชามบัคกุเต๊เเละพองเพื่อนได้สำเร็จ หมดไม่มีเหลือจ้าาาา

สรุปอาหารมี ไส้หมู ม ตับ ม้าม ชุด บักกุเต้ ที่เป็นซี่โครง เป็ดจานนึง ผัดผักน้ำมันหอย (Xiao Baicai ) ข้าวชามใหญ่ 2 ชาม ปาท่องโก๋ ( You-Tiao ) ชา 2 แบบ 2 กา
ค่าเสียหาย 45.35 SGD เลยจร้าา เงินไทยก็ 1,200 บาท ราคานี้ได้ ข้าวมันไก่บนเครื่อง 2 ชุดจร้าา

เมื่อท้องอื่มเราก็จะไปเที่ยวกันต่อ —-> นี้คือสิ่งที่คิด …
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือกลับห้อง ไปนอนกลิ้งจร้าาาา หมดวันเรกด้วยความอิ่มหน่ำสำราญ
(พี่หมีเขียนรีวิว ทิ้งไว้นานเเล้วไม่ได้เขียนต่อ พอมาเขียนต่อ ขอเขียนแบบไวๆเลยนะ ><)
ตื่นมานอนกลิ้งออกไปกินขนมเหมือนเดิมเพราะน้องหมีติดใจมาก รอบนี้จัดเต็ม คนละชุดเลย

เดินเที่ยวไชน่าทาวนิดหน่อยก่อน มี นางแบบหมีน้อยด้วย

มีร้านอาหารทั่วไปหมดเลย

คนมานั้งกินข้าวกันทั้งวัน

เสร็จจาก China Town น้องหมีอยากไปช้อปปิ่งที่ห้างแห่งหนึ่งที่เราต้องนั้งเมลล์กัน และแน่นอนว่าใช้บัตรเทพของเรา ไปไหนก็ได้ ใบเดียว

ห้างนี้ใกล้ๆ IKEA

แวะกิน ไอติม IKEA ซะเลย รูปล่างไม่เกี่ยวกับ ไอติมนะ เป็น ซอสส แขวนไว้เท่ดี เห็นราคา ไอติมด้านหลัง 0.5 SGD ที่ไทยถูกกว่า เยอะ อิอิ

พอตกเย็นก็ถึงเวลาไปลุย marina bay sand sky park กันเลย นั้งรถ MRT ไปลง Bayfront

แถวนั้นคนเยอะมาก ให้ตั้ง GPS เดินไม่งั้นก็ลองมองขึ้นสูงๆ เด่วก็เจอตึกประหลาดๆ ด้านบนยาวๆ รีๆ แนวนอน แบบนี้

พอไปถึงก็จะมีที่เขียนว่า marina bay sand sky park เรามีตัวเเล้วก็ไปต่อคิว รอขึ้นลิฟได้เลย

รอไม่นานมาก ก็ได้ขึ้นลิฟมาด้านบน พอถึงด้านบนแดดยังร้อน คนรอกันเยอะเเยะไปหมด เป็นที่ว่างโล่งๆ ขึ้นไป 5 นาทีก็เบื่อเเละร้อนด้วย

พี่หมีเริ่มคิดว่าทำไมในรูปมีสระน้ำสวยๆด้วย เเต่นี้มันไม่ใข่เบยความรู้สึกเหมือนโดนหลอก พี่หมีเริ่มเดินหาทางไปสระว่ายน้ำครับ พี่หมีเห็นคนเดินเลาะไปทางที่เป็นร้านอาหารกับสระว่ายน้ำ พี่หมีก็เดินไปบ้าง บอกว่าเรามาร้าน KU DE TA (ที่ไทยก็มี ) พี่พนักงานก็เปิดให้เดินเข้าไป ตอนนี้ความรู้สึกดีขึ้น พี่หมีเดินเข้าร้านไป หาโต๊ะเหมาะ วิวสวยๆได้ก็สั้งเครื่องดื่มคนละแก้ว ราคาสูง แต่ถือว่าคุ้มกับการได้นั้งจิบเครื่องดื่มดูวิวสวยๆ พระอาทิตย์ตกดิน เเถมมีโชวว์ ไฟด้วย

ดูพระอาทิตย์ตก สวยดี แต่กล้องมือถือ ได้เเค่นี้ ><

วิวกลางคืนก็สวยมาก 
ข้อแนะนำ ไม่จำเป็นต้องซื้อบัตร Marina bay sand sky park 20SGD แต่ให้เข้า โรงแรม Matina Bay sand เเล้ว ขึ้นลิฟไป ร้าน KU DE TA เลย เอาเงินไปซื้อเครื่องดื่มจิบดูวิว ดีกว่าไปยืนเบียดๆร้อนๆ เสียเงินฟรี ในส่วนสระว่ายน้ำ ต้องเป็นผู้พักอาศัยใน โรงแรมถึงจะได้เข้าไป
ไม่ต้องซื้อตั๋วนะจำไว้ ไปนั้งที่ KU DE TA ดีกว่าาาาา เตือนแล้วนะ อ๊ากกกกกก เสียตังฟรี !!!

หลังจากดูโชวว์ไฟจบ เราก็เดินลัดเลาะมาที่ Garden by the bay ระยะทางเดินได้เเต่ไม่ใกล้เท่าไหร่ มารู้ตอนหลังว่าสามารถเดิน มาจาก MRT ได้เลยเช่นกัน ใกล้เเละง่ายกว่าด้วย

โชคดีที่มาทันโชว์ไฟ ด้านนอกของ Garden by the bay พอดี พี่หมีกับน้องหมีก็จับจองที่นั้ง พอได้ก็นอนราบลงไป มองขึ้นฟ้า แสงสีเสียงสวยงาม เเล้วก็ดรแมนติกมาก เพราะเรานอนดูไฟจึงเหมือนมีเเค่เราสองคน ถ้านั้งดูคงเห็นคนอื่นเยอะเเยะเลย เป็นการแสดงที่ไม่ควรพลาด

เนื่องจากเรามา ดึกเเล้ว เลยยังไมไ่ด้เข้าไปดูด้านในของ Garden by the bay แล้วพรุ่งนี้ก็จะกลับเเล้ว เสียดายตั๋วที่ซื้อมา เพราะตั๋วที่ซื้อมาใช้สำหรับดูด้านใน ถ้าจะดูเเค่โชวว์ไฟไม่ต้องซื้อตั๋วก็ได้ เสียดายแต่ก็ไม่เป็นไร กลับห้อง นอนกลิ้งต่อ เพราะวันนี้เหนื่อยมากเเล้ว พรุ่งนี้เครื่องออก เย้นๆ บ่ายก็ต้องไปถึง สนามบินเเล้ว
วันสุดท้าย
เรามีเวลาไปนั้งเรือชมเมืองเป็นรายการสุดท้ายก่อนไปสนามบิน เราไปที่สถานี Clarke quay เพื่อรอขึ้นเรือ

เดินหาที่ขึ้นเรือสักพัก ก็เจอตู้แบบนี้

รอสักพักจนถึงเวลาออกประมาณเที่ยง มีเเค่เราสองคน พี่หมี น้องหมี เราก็เลยได้ล่องเรือส่วนตัว

ล่องชมเมืองไปเรื่องๆ จนถึงอ่าวที่จะวนเรือกลับ เราก็เห็นว่าเรามาถึง Garden by the bay เราจึงขอลงเรือที่นี้ เพราะเรามีตั๋วที่ไมไ่ด้ใช้เหลืออยู่ ในที่สุดก็จะได้ใช้ก่อนกลับ เจ้าหน้าที่ประจำเรือน่ารักมาก

ส่งตั๋วให้พนักงานเช็ค แล้ว พนักงานก็จะให้ ตั๋วไว้ใช้สำหรับขากลับมาด้วย สรุปว่าการขึ้นเรือ เราสามารถลงตรงไหนก็ได้ 1 จุดเเละ สามารถขึ้นเรือกลับท่าได้อีกครั้ง
อันนี้ท่าเรือ ดูดีเชียว

ได้ตั๋วคืนมาเเล้ว

ลงจากท่าเรือเดินมาก็ถึงห้าง The Shoppes at marina bay sands เลย เดินลง MRT ไป อีกไม่ไกลก็ถึง Garden by the Bay
เป็นทางเชื่อมใน MRT ยาวๆ แบบนี้ คืนเมื่อวานเดินริมถนนซะไกลเลย

ด้านใน Garden by the bay มีสวนให้เข้าหลายแบบ อากาศเย็นๆภายในโดมแก้ว น้ำตก สวนดอกไม้ ตกไม้ บรรยากาศดีมาก
ได้ใช้ตั๋วที่ซื้อมาเเล้ว !!

ทางเดิน มีรูปดอกไม้ด้วย
สวนดอกไม้ นานา ชนิด ในโดม อากาศเย็นๆ (หมีแขก = หมีบัง)

หมีใต้ต้นไม้

หมีดูดอกไม้

แต่เรามีเวลาไม่มากจึงต้องรีบออกมา เเล้วกลับที่พัก เช็คเอาเเล้วตรงดิ่งไป สนามบิน
การนั้งรถ MRT กลับไปสนามบิน เรื่องง่ายๆ เราอยู่ MRT china town และต้องการนั้งสาย สีเขียวเพื่อไปสนามบิน เราก็นั้งไปลง MRT Outram park เเล้วรอรถสายสีเขียวเพื่อไฟ Changi Airport
แต่ก็มีเหตุเกิดขึ้น ! พี่หมีรอชานชาลาด้านที่เขียนว่า Pasir Ris / Changi Airport และรถไฟที่เข้ามา ก็เขียนแค่ ไป Pasir Ris ไม่มีคันไหนเขียนว่าไป Changi Airport เลย พี่หมีรอเกือบ ชม น้องหมีเริ่มไม่ไหว ใช้ภาษาอังกฤษ งูๆปลาๆ ไปถามคนแถวนั้นได้ความว่า เราต้องนั้งสายนี้ไปก่อน เเล้วจะมีจุดเปลี่ยนรถเพื่อไปสนามบินอีกครั้งหนึ่ง !!! พี่หมีเขางอกเสียบดวงจันทร์เลย
สรุปความเข้าใจผิดของพี่หมีที่นึกว่าเหมือน รถบางคันไป สถาณีบางซื่อ บางคันหยุดแค่ จตุจักร พี่หมีก็นึกว่า ต้องรอคันที่ไป Airport เลย พอทราบดังนั้นก็รีบกระโดดขึ้นรถไฟเลย ทุกคนที่ไป Airport ลงที่ Tanah Merah รอต่อรถไฟ เพื่อไปสนามบินกันเลย
หมีปวดหัว รอต่อรถไฟที่ Tanah Merah

พอไปถึงสนามบิน เช็คว่าขึ้นเทอมินอลไหน เเล้วก็รีบวิ่งไปเลย แต่เรายังไม่ลืมคืนตั๋ว เพื่อเอาค่ามัดจำคืนนะ วิ่งไปจนถึงหน้าเค้าเตอร์เชคอิน ก็เห็นช่องยังเปิดอยู่ เราจำได้ว่า พนักงานคืนภาษีที่ มุสตาฟา บอกว่าให้เอาภาษีคืนเละอาจจะมีตรวจของด้วย เราเลยวิ่งไปเอาภาษีคืนก่อน กลัวว่าพอเช็คอินโหลดของเเล้ว ไม่มีของให้ดู จะคืนภาษีไม่ได้ เรารีบกรอกแบบฟอร์มพร้อมยืนเอกสาร ที่ได้จากร้านค้า เค้าก็ถามว่าจะเอาเงินสดหรือ คืนเข้ายัตรเครดิต เรารีบจึงเลือกอันที่เร็วที่สุด คือการคืนเข้าบัตรเครกิต เสร็จเเล้วก็วิ่งไปที่เช็คอิน ขึ้นครึ่ง ถึงหน้าที่เช็คอืนขึ้นเครื่อง เขาปิดไม่ให้เช็คอินเเล้วประมาณ 5 นาที สรุปว่าเรา เข้าใจผิดว่าสามารถเช็คอินได้ช้าสุด 45 นาที ทีก่อนขึ้นเครื่อง แต่จริงๆเเล้วต้องเช็คอิน 1 ชั่วโมง ก่อนขึ้นเครื่อง พี่หมีกับน้องหมีก็ตกเครื่องในทันใด
ตอนนี้เราก็เครียดเลยครับ ต้องหาตั๋วกลับบ้าน ถ้าซื้อตั๋วที่เค้าเตอร์ ราคาตกคนละ หมื่นกว่าาบาท ซึ้งเเพงมาก พนักงานก็ไม่เนะนำ ถึงจะมี เอเจนซี่จองตั๋วเครื่องบินให้บริการอยู่ในสนามบินแต่ราคาก็เเพงอยู่ดี เราหาตั๋วทางอินเตอร์เน็ตได้ราคา 2 คน ปรมาณ 6พันกว่าบาท แต่เราไม่สามารถใช้บัตรเครดิตได้เพราะ เราไม่ได้เปิดโรมมิ่งทำให้เวลารูดบัตรเเล้วธนาคารส่ง รหัสสำหรับยืนยันการทำรายการมาทาง SMS เเล้วเราจะไม่ได้รับครับ ในที่สุดหลังจากโทรหาเพื่อนหลายคนก็มีคนที่สามารถจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้เรากลับไทยได้สำเร็จ ( love you นะ น้องดำ ขาโต๊ะสนุ๊ก )
(Note : เว็ปไซต์เช็คราคาตั๋วเครื่องบิน skyscanner , jetradar , traveloka อาจจะไม่เห็นโปรโมชั่นพิเศษในบ้างครั้ง แต่สามารถใช้ได้เวลาเร่งด่วนจร้าา)
กลับมานอน โรงแรม Asphodel โรงแรมเดิม เพิ่มเติมคือ ราคาเพราะเป็นราคา แบบเดินเข้าไปจอง จะเเพงกว่าจองล่วงหน้า
dinner สุดท้ายที่ สิงคโปร์ ก่อนหลับไทย อร่อยมากมาย ^______________^

ตื่นเช้ามาในวันสุดท้ายจริงๆ
วันนี้ตืนมาทานข้าวที่ไซน่าทาวแแล้วก็ รีบตรงไปที่สนามบินเลย
เมื่อเช็คอินและเข้าด้านในสนามบินเเล้วเราพบว่า เราสามารถ ขอ ภาษีคืนได้ ด้านในด้วย โดยไม่จำเป็นต้องทำมาจากด้านนอก สรุปแล้ว ที่เราตกเครื่องเมื่อวานในนาทีสุดท้ายเพราะความ งก วิ่งไปขอคืนภาษีก่อนที่จะ เช็คอิน (ตามคำแนะนำของพนักงานที่ห้าง T T)
ได้กลับเเล้ว ดีใจจังงงงงง กิน passport เบยยย …. ม่ายได้นะๆๆๆๆ

หมีขี่เสือกลับไทยจร้าา

หมี ร็อคคคค แฮ่ๆๆๆๆๆๆ รอดตายแว้ววววววว

สรุปทริปนี้ เพลิดเพลิน แถมยังได้ผจญภัยเล็กน้อย คุ้ม สนุกสุดๆ
ยาวมากกกเลย ขนาดเขียนข้ามๆๆๆๆ ใครอ่านมาถึงตรงนี้ได้นี้ เก่งมากเลยยย ใครอ่านบ้างข้ามบ้างก็ขอขอบคุณนะครับบบบบบบบบ
อันนี้เป็นรีวิว ยอนหลังของ พ.ค. ปี 58 นะครับ ถ้าตอนนี้มีอะไรไม่เหมือนข้อมูลที่ให้ไว้ก็ต้องขอโทษด้วยครับ

http://www.Bearspacker.com
บทความอื่นๆ
Agoda และ Booking เว็บไหนดีกว่า?
ลดเพิ่มทันที 7% กับ AGODA
บอลลูน ณ วังเวียง
5 เทคนิค จองที่พัก online ประหยัดหลายร้อย
รีวิว เชียงใหม่ – แม่กำปอง ^^
By พี่หมี









